และ ประโยชน์ 4 อย่างของ ‘ปุ๋ยอินทรีย์เคมี’
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี เป็นปุ๋ยนวัตกรรมสำหรับผู้ต้องการเพิ่มผลผลิตและรักษาดินในเวลาเดียวกัน เพื่อความยั่งยืนในการทำเกษตรกรรม
ในปัจจุบันการปลูกพืชแต่ละชนิดจำเป็นต้องใช้ธาตุอาหารที่มากขึ้น เนื่องจากสภาพของดินมีการถูกดูดซึมธาตุอาหารไปเป็นจำนวนมาก การใช้ ‘ปุ๋ยเคมี’ ที่มีธาตุอาหารเยอะจึงจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่การใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้ดินเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการดินเปรี้ยว ดินแห้ง ดินแข็ง โดยวิธีการแก้ปัญหาที่ทำกันมาคือการสลับใช้ ‘ปุ๋ยอินทรีย์‘ เพื่อทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
เมื่อดินจำเป็นที่จะใช้ปุ๋ยทั้งสองแบบในการเจริญเติบโตของพืชและรักษาดิน จึงได้มีการคิดค้น ‘ปุ๋ยอินทรีย์เคมี’ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เกษตรกรต้องสลับใช้ สต๊อกปุ๋ยทั้งสองชนิด รวมทั้งลดต้นทุนและเวลาสำหรับการให้ปุ๋ยอีกด้วย
โดยปุ๋ยอินทรีย์เคมีจะมีลักษณะและคุณสมบัติดังนี้
เป็นปุ๋ยที่มีการปั้นเม็ดผสมระหว่าง ปุ๋ยเคมี ที่มีส่วนประกอบของ ธาตุ NPK สูง กับปุ๋ยอินทรีย์ ได้จากอินทรีย์วัตถุ (Organic matter) เช่น กากตะกอนจากโรงงาน เปลือกไม้ เศษอาหาร เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะผสมในอัตราที่ ปุ๋ยอินทรีย์:ปุ๋ยเคมี 3:1
.
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
- ปุ๋ยอินทรีย์ต้องมีธาตุอหารหลัก (NPK) 2 ธาตุขึ้นไป
- ปริมาณรวมของธาตุอาหารหลักต้องไม่น้อยกว่า 12 % ของน้ำหนักรวม
- ปริมาณธาตุอาหารหลักแต่ละชนิดต้องไม่น้อยกว่า 3% ของน้ำหนักรวม
- ปริมาณอินทรียวัตถุ (OM) ต้องไม่น้อยกว่า 10% ของน้ำหนักรวม
-
ข้อกำหนดอื่น ๆ นอกเหนือจากปริมาณธาตุอาหาร เช่น– มีค่าการนำไฟฟ้าน้อยกว่า 10 เดซิซีเมนส์ต่อเมตร– C/N Ratio ไม่เกิน 20:1– ปริมาณโซเดียม (Na) ไม่เกิน 1%– ปริมาณความเป็นพิษไม่เกินรัฐมนตรีกำหนด– ปริมาณหิน กรด ที่มีขนาด 5 มิลลิเมตรขึ้นไป ไม่เกิน 2%– ต้องไม่พบพลาสติก แก้ว วัสดุมีคม หรือโลหะอื่น ๆ– ขนาดของเมล็ดไม่เกิน 12.5 x 12.5 มิลลิเมตร
เช่น สูตร 6-3-3 OM10 หรือ 17-3-3 OM10 เป็นต้น
ประโยชน์หลักของปุ๋ยอินทรีย์เคมีมีอะไรบ้าง ?
- ช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินให้มีมากขึ้น แก้ปัญหาพืชขาดธาตุอาหาร
- ช่วยทำให้ดินไม่ถูกทำลายจากธาตุอาหาร แก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพ
- ช่วยปรับสภาพดินให้มีความเหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ
- เพิ่มจุลินทรีย์ในดิน ช่วยให้ดินปลดปล่อยธาตุอาหารได้มากขึ้น
ทั้งนี้การเลือกใช้ปุ๋ยก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในด้านต่างๆด้วย เช่น ชนิดของพืชที่ปลูก ปริมาณธาตุอาหารในดิน หรือแม้กระทั่งงบประมาณในการจัดการ การใช้ปุ๋ยที่เป็นนวัตกรรมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรเพียงเท่านั้น
_____________________________________________________________________________________________________________________